ปรับ Mindset การสัมภาษณ์งานใหม่ มีชัยไปกว่าครึ่ง
คุณเคยสังเกตุไหมว่า หลายคนถูกขับเคลื่อนด้วยชุดความคิดแบบเก่า (ซึ่งอาจรวมถึงตัวคุณเองด้วย!) ทำให้มองการสัมภาษณ์งานเป็นเรื่องที่ยากเอามากๆ มองมันแย่กว่าความจริง จึงไม่แปลกที่จะกดดัน ประหม่า หรือกลายเป็นคนกลัวการสัมภาษณ์ไปซะอย่างงั้น ความมั่นใจที่เคยมีมาหายไปทันทีหลังจากก้าวเท้าเข้าไปในห้องเชือด ถ้าคุณสัมภาษณ์ทีไรก็ไม่ถูกรับเข้าทำงาน ตกสัมภาษณ์ตั้งแต่รอบแรกๆ ทำได้ไม่ดีเหมือนอย่างที่ซ้อมเอาไว้เพราะตื่นเต้น หรือพยายามจนเกินไปจนเครียด บางทีนี่อาจถึงเวลาที่จะเปลี่ยน mindset ที่มีต่อการสัมภาษณ์เสียใหม่ เพื่อการสัมภาษณ์ที่ดีมากขึ้นแบบก้าวกระโดด
เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อ
1. เขาอยากเห็นอะไร ไม่ใช่เราอยากแสดงออกอย่างไร
อย่างที่ทราบกันดีว่า First Impression หรือความประทับใจแรกนั้นสำคัญ แต่หลายคนยังตีโจทย์ “ต้องเป็นตัวของตัวสิ” ใช่แล้ว ! การเป็นตัวของตัวเองนั้นดีที่สุด เราจะได้ไม่สูญเสียตัวตนเวลาสัมภาษณ์ กรรมการจะได้รักที่เราเป็นเรา…ไม่ต้องเฟค แต่คุณลืมไปหรือเปล่าว่าการเข้าสังคม คือ การปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกใจไลฟ์สไตล์ของคุณ บางคนแต่งตัวเซ็กซี่คอเว้าลึก เพราะรู้สึกถึงความมั่นใจมากกว่าแต่งตัวมิดชิด ในขณะที่คนหัวโบราณจะไม่ค่อยชอบใจนัก และอาจแสดงออกมาในรูปแบบของคำถามที่รุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว เป็นเป้าโจมตีทางเพศ (Sexual Harassment) หรือยิงคำถามที่ทำให้รู้สึกอายในที่สาธารณะ (Public Shaming)
รวมถึงเรื่องยอดฮิตอย่างรอยสักที่ถูกสังคมไทยตีตราว่าเป็นพวกไร้การศึกษา ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย แต่เราก็ต้องยอมรับว่ายังมีผู้สัมภาษณ์ HR ที่มีความอนุรักษ์นิยมสูง ซึ่งให้คุณค่ากับคนที่ไม่มีรอยสักมากกว่า การแต่งตัวของคุณจึงต้องอำพรางรอยสักไว้ให้อยู่ใต้ร่มผ้าและไม่ถูกมองเห็นได้ง่ายจากคนอื่น รอยสักที่ตัวเรา…แต่ไปเป็นปัญหาของคนอื่น
สรุปแล้ว Mindset การแต่งตัวจึงเป็น การเดาใจว่าผู้สัมภาษณ์อยากเห็นอะไร โดยสิ่งที่คุณพอจะทำได้ คือ การแต่งตัวที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นกลางที่สุด ไม่ใช่แต่งตามใจฉัน
2. เขาอยากได้ยินอะไร ไม่ใช่เราอยากพูดอะไร
ความมั่นใจแบบผิดๆ อย่างการเล่าเรื่องที่เราภูมิใจนักหนา แต่คนฟังไม่ได้อยากฟังเพราะไม่อินไปกับบทที่เราพยายามนำเสนอ อาจทำให้คุณพังการสัมภาษณ์งานนี้ไปแบบไม่รู้ตัว จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณต้องโฟกัสให้ถูกจุด ย้ำเตือนในใจเสมอว่า การสัมภาษณ์คือการขาย อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นทักษะการเล่าเรื่อง (Storytelling) จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม แล้วจะเล่าอย่างไรให้ได้ใจคนฟัง? ตอบแบบกำปั้นทุบดินจะได้ว่า ก็เล่าเรื่องที่มันไม่น่าเบื่อสิ!
เช็คลิสต์ คุณกำลังเล่าเรื่องที่ ‘น่าเบื่อ’ อยู่หรือเปล่า
❌ เอาแต่นำเสนอตัวตนของตัวเองที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน
❌ อวยตัวเองว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้โดยไม่ยกหลักฐานมาประกอบ
❌ เล่าเรื่องแบบโมโนโทน เรียบๆ ไม่มีเรื่องน่าตื่นเต้น
❌ ท่องสคริปต์หรือพูดเนื้อหาที่มีบนเรซูเม่
❌ พูดวกไปวนมา ไม่มีจุดพีค ไม่มี Main Idea
เทคนิคการเล่าเรื่องให้คนฟังสนใจง่ายๆ นั้นเพียงแค่คุณพยายามพูดในสิ่งที่คนฟังสามารถ คิดตาม หรือ มีอารมณ์ร่วมได้ ดังนั้นเรื่องของคุณจึงต้องดึงความสนใจด้วยปัญหา ก่อนจะดึงพวกเขาให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของคุณ เช่น แชร์เรื่องที่ไม่มีบนเรซูเม่ เคสหนักๆ ที่คุณเจอตอนทำงาน คุณรู้สึกอย่างไร ความท้าทายของปัญหานั้นคืออะไร และคุณแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร ก่อนจะปิดท้ายด้วยการโยงมายังตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เหมือนการขายของที่มีการไทอินสินค้าแบบเนียนๆ
🔗 อ่านเพิ่ม แนะนําตัวสัมภาษณ์งานให้ประทับใจ HR เล่าครบจบใน 3 นาที!
3. ความตื่นเต้นไม่ใช่เรื่องผิด
เชื่อหรือไม่ ยังมีคนที่รีบไปที่สัมภาษณ์เพื่อเข้าห้องน้ำและใช้เครื่องเป่ามือลมร้อนเพื่อให้มือตัวเองอุ่นเข้าไว้ เนื่องจากคิดว่ามือที่เย็นจะทำให้ผู้สัมภาษณ์รับรู้ได้ถึงความตื่นตระหนกตอนจับมือกันครั้งแรก ซึ่งแท้จริงแล้วนั้น อาการตื่นเต้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ยิ่งถ้าคุณอยากได้งานในตำแหน่งนั้นและมีความตั้งใจมากๆ ความตื่นเต้นในวันสัมภาษณ์จะยิ่งเพิ่มทวีคูณ คุณตื่นเต้นได้นะ แต่คุณไม่ควรอนุญาติให้มันเข้ามามีบทบาทในการสัมภาษณ์มากเกินไป จนมีผลกระทบกับการแสดงออกของคุณ
เทคนิคที่นิยมใช้กัน ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยเรียกความมั่นใจกลับมา แต่ยังช่วยกลบเกลื่อนความตื่นเต้นไม่ให้ผู้สัมภาษณ์จับได้ คือ การสื่อสารผ่านทางสายตา (Eye Contact) ที่บอกอะไรได้มากกว่าสิ่งที่คุณพูดเสียอีก ถ้าคู่สนทนาพยายามหลบสายตา เวลาตอบคำถามก็มองไปทางอื่นอยู่บ่อยครั้ง ผู้สัมภาษณ์สามารถสัมผัสได้ทันทีถึงความไม่มั่นใจของคุณ อาจตีความได้อีกว่าคุณกำลังให้คำตอบที่ผิดอยู่ ไม่จริงใจ หรือเฟคคำตอบ ในขณะเดียวกัน การมองเข้าไปนัยน์ตาของพวกเขาตรงๆ เวลาพูดจะสร้างอิมแพคและคอนเนคชั่นได้อย่างลึกซึ้งและชัดเจนที่สุด ดังนั้น คุณจึงไม่ควรหลบสายตาเวลาพูด ตอบคำถามด้วยความมั่นใจและมองหน้าพวกเขาตลอดเวลาเพื่อดึงความสนใจผู้สัมภาษณ์มาที่คำตอบของคุณ แทนการสังเกตุมือของคุณที่กำลังสั่นระริกและส่วนอื่นที่กำลังแสดงความตื่นเต้นออกมา
4. สัมภาษณ์ไม่ได้เน้นแค่การพูด แต่ ‘ฟัง’ ด้วย
แม้คุณจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี รู้สึกร้อนวิชาอยากตอบคำถามเหล่านั้นจนใจจะขาด แต่การตัดบทสทนาด้วยการรีบชิงตอบคำถาม โดยเฉพาะเมื่อผู้สัมภาษณ์กำลังถามคำถามอยู่นั้นยังไม่ทันจบด้วยซ้ำ อาจทำให้คุณพลาดอะไรบางอย่างไป เช่น เรื่องเล็กๆ ที่ผู้สัมภาษณ์ใช้สร้างบรรยากาศ ปูทางเข้าสู่บทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งหากคุณใส่ใจในทุกรายละเอียดและคำพูดทุกคำพูด อาจตีความจากน้ำเสียงและสารนั้น เพื่อจะได้ติดตามความรู้สึกของพวกเขาตลอดการสัมภาษณ์ได้ ไปจนถึงจับสังเกตุว่าพวกเขามีเรื่องกังวลใจ (เกี่ยวกับคำตอบของคุณ) อะไร อันจะนำไปสู่โอกาสในการปิดช่องโหว่ของการสัมภาษณ์ครั้งนี้ก่อนจะสายเกินไป ดังนั้น ควรรอให้พวกเขาพูดคำถามให้จบและเคลียร์ก่อน นอกจากนี้ การตอบสวนกลับทันทีอาจทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่า คุณไม่มั่นใจ ดูลนลานและเป็นคนที่ไม่รอบคอบด้วย
5. คิดไปเลยว่าเราจะได้งาน
ท้ายที่สุดนี้ Mindset ต่อการสัมภาษณ์งานที่สำคัญที่สุด คือ คุณต้องรู้สึกไปเลยว่าคุณจะได้งานนี้อย่างแน่นอน คุณมีดีพอ เก่งพอที่จะเป็นแคนดิเดตที่พวกเขาต้องการ ให้เดินทางไปสัมภาษณ์ด้วยความคิดบวกแบบนี้ในหัวจะช่วยลดความตึงเครียดและความกดดันของตัวเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดีเกินไปจนคุณชะล่าใจไม่เตรียมตัว แต่เป็นวิธีรับมือกับความคิดด้านลบที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
อย่าลืมปรับทัศนคติของคุณที่มีเสียใหม่ มองการสัมภาษณ์แบบเป็นสัจธรรมตามความเป็นจริงที่ว่า คุณอยากทำงานให้บริษัท และบริษัทเองก็อยากได้คุณเข้าไปร่วมงาน (มิเช่นนั้นจะไม่เรียกไปสัมภาษณ์แน่ๆ) ดังนั้นการสัมภาษณ์งานจึงไม่ใช่การแข่งขันที่คุณต้องเร่งทำคะแนน หรือการขอร้องให้พวกเขารับคุณเข้าทำงาน หากแต่เป็นการพูดคุยกันเพื่อสร้างข้อตกลงร่วมกัน หาดีลที่ลงตัวที่สุดทั้งฝั่งของคุณ (เงินเดือนและความก้าวหน้า) และฝั่งของพวกเขา (การส่งงานของลูกจ้าง) ไม่มีความจำเป็นอันใดที่คุณจะต้องเครียดเลย ถ้าความต้องการของคุณทั้งสองไม่แมทช์กัน ก็ยังสามารถไปหาที่อื่นได้ …ไม่ใช่จุดจบของชีวิตสักหน่อย
งานของคุณเป๊ะและปังกว่าเดิม เพียงเท่านี้ คุณก็จะสามารถเป็นตัวของตัวเองและทำได้ดีที่สุดในทุกการสัมภาษณ์งานอย่างแน่นอน งานที่ว่าหายากหรอ…นาทีนี้คุณเอาอยู่
ที่มา : The Standard, The Social
Jitkarn Sakrueangrit
Graphic & Web Designer, Content Creator,
Copywriter, Marketing Specialist
คุณน่าจะชอบเรื่องเหล่านี้
เทคนิคการติดตามผลสัมภาษณ์
ผ่านไปหลายวันหลังสัมภาษณ์ แต่ HR ดันเงียบหายไม่ติดต่อกลับมาแจ้งผลสัมภาษณ์สักที ปัญหาโลกแตกของคนหางาน ควรโทรไปตามดีไหม?
ขอลาออกยังไงให้ดูเป็นมืออาชีพ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ในที่สุดก็ต้องแจ้งลาออกกับบริษัทเดิมเพื่อไปตามล่าหาความฝัน ณ บริษัทใหม่ แต่จะขอลาออกยังไงไม่ให้ดูน่าเกลียดดีนะ